อุปกรณ์แสดงผลเสียง
1.sound card การ์ดเสียง มีหน้าที่
Sound Card (การ์ดเสียง) คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถแสดงผลออกมาในรูปแบบเสียงได้ โดยจะทำหน้าที่ควบเรื่องเสียง อย่างเช่น ถ้าวงจรเสียงใช้กับเกมส์ที่เราเล่นจะเกิด เสียงต่าง ๆ หรือสร้างเสียงเอฟเฟคต่าง ๆ เข้าเป็น วงจรเสียงที่ใช้กับดนตรีชนิดต่าง ๆ สำหรับสร้างสรรค์งานเพลงที่เราต้องการให้มีคุณภาพของเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคุณภาพเสียงจะขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อของ Sound Card
ความชัดเจนของเสียงจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราการสุ่มตัวอย่างและความแม่นยำของตัวอย่างที่ได้ ซึ่งความแม่นยำของตัวอย่างนั้นถูกกำหนดโดยความสามารถของ A/D Converter ว่ามีความละเอียดมากน้อยเพียงใด ทำอย่างไรจึงจะประมาณค่าสัญญาณดิจิตอลได้ใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงมากที่สุด ความละเอียดของ A/D Converter นั้นถูกกำหนดโดยจำนวนบิตของสัญญาณดิจิตอลเอาต์พุต เช่น
- A/D Converter 8 Bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 256 ระดับ
- A/D Converter 16 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 65,536 ระดับ
หากจำนวนระดับมากขึ้นจะทำให้ความละเอียดยิ่งสูงขึ้นและการผิดเพี้ยนของสัญญาณเสียงยิ่งน้อยลง นั่นคือ ประสิทธิภาพที่ของเสียงที่ได้รับดีขึ้นนั่นเองแต่จำนวนบิตต่อหนึ่งตัวอย่างจะมากขึ้นด้วย

Sound Card มีความจำเป็นแค่ไหน
ปัจจุบัน Mainboard ของเครื่อง PC Computer แทบทุกตัว ล้วนติดตั้งวงจรแสดงผลการประมวลและส่งออกของเสียง มาในตัวเองทั้งสิ้น หรือที่เรียกกันว่า Sound on Board ดังนั้น ความจำเป็นในการซื้อ Sound Card มาใช้งานจึงลดความจำเป็นลง หรือบางคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป ก็ในเมื่อมีภาครับ-ส่งสัญญาณเสียงอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องซื้อ Sound Card มาใช้งานให้ทับซ้อน สิ้นเปลืองสตางค์อีกทำไม เมื่อมันก็ทำงานเหมือนๆ กัน
มาถึงจุดนี้ คงต้องถามตัวเองแล้วละ ว่า เราใส่ใจกับเสียงที่อยากได้ยินนั้นแค่ไหน ?
- ถ้าคุณรู้สึกว่า เสียงที่ได้จาก เพลง หนัง ละคร ไม่ว่าจะฟังจาก คอม วิทยุ เครื่องเล่น CD โทรทัศน์ ทุกอย่างมันก็เหมือนๆ กัน ฟังรู้เรื่องว่าเป็นเสียงอะไร ต่างกันแค่เสียงดัง หรือเสียงเบาเท่านั้น - หากเป็นเช่นนั้น สรุปได้ว่า Sound Card นั้น ไม่มีความจำเป็นกับคุณเลย
- แต่ถ้าคุณรู้สึกถึงว่า เสียงที่ได้ยินจากแต่ละเครื่องเล่น แต่ละอุปกรณ์ คอมแต่ละเครื่อง มีความแตกต่างกัน อันนั้นเบสหนักสะใจ อันโน้นเสียงโปร่งๆ ปิ้งๆ ฟังสบาย อันนี้เสียงหวาน นิ่มนวล ฯ - แบบนี้ Sound Card อาจมีส่วนช่วยคุณได้ เพื่อให้ได้เสียงที่ออกจากระบบคอมพิวเตอร์เป็นไปในแบบทีชอบหรือต้องการมากขึ้น
การติดตั้งการ์ด PCI หรือการ์ด PCI Express
- ปฏิบัติตามขั้นตอนใน ก่อนทำงานกับส่วนประกอบภายในของคอมพิวเตอร์
- ถอดฝาครอบคอมพิวเตอร์ออก (กรุณาดู การถอดฝาครอบคอมพิวเตอร์)
- ถ้าคุณต้องการใส่การ์ดที่เพิ่งถอดออกกลับเข้าที่ใน การถอดการ์ด PCI หรือการ์ด PCI Express ให้ดำเนินการขั้นตอนที่ 5
- ถ้าคุณต้องการใส่การ์ดใหม่ในช่องเสียบการ์ดเสริมที่ว่างเปล่า:
- สำหรับ Vostro 220s ให้ถอดโครงที่รองตัวเครื่องออก (กรุณาดู การถอดโครงที่รองตัวเครื่องออก)
- ถอดสกรูที่ยึดแผ่นปิดของช่องที่ด้านหลังของคอมพิวเตอร์ออก วางสกรูไว้ข้างๆ เพื่อใช้ในการติดตั้งการ์ด และเก็บแผ่นปิดไว้สำหรับการใช้งานในอนาคต
- สำหรับ Vostro 220s ให้ถอดโครงที่รองตัวเครื่องออก (กรุณาดู การถอดโครงที่รองตัวเครื่องออก)
- การเตรียมการ์ดสำหรับติดตั้งสำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดค่าการ์ด การเชื่อมต่อภายใน หรือการปรับแต่งการ์ดสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณ กรุณาดูเอกสารประกอบการใช้งานที่ให้มาพร้อมกับการ์ด
ลำโพง (Speaker) คือ อุปกรณ์แสดงผลข้อมูลที่ใช้ในการแปลงสัญญาณไฟฟ้าจากคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณเสียง และแสดงเสียงออกมาทำให้ผู้ใช้ได้ยินสัญญาณเสียงในแบบต่าง ๆ เช่น เสียงเพลง เสียงพูด
แบบฟูลเรนจ์
![]() |
เมื่อพิจารณาจากเจตจำนงของสำนักผู้ผลิตลำโพงฟูลเร้นจ์ในยุคปัจจุบันที่มีความฮือฮากันอยู่เฉพาะกลุ่มนั้น ร้อยทั้งร้อยมักนำไปใช้ร่วมกับเพาเวอร์แอมป์ หรืออินทีเกรดแอมป์หลอดสุญญากาศแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์กำลังขับต่ำทั้งสิ้น ตรงกันข้ามกับอินทีเกรดแอมป์แบบพุชพูลเครื่องที่อยู่ในครอบครองของคุณ ซึ่งสามารถขับลำโพงได้หลากหลายกว่า
จากประสพการณ์ที่เคยลองเล่นลำโพงฟูลเร้นจ์ยี่ห้อ LOTHER ที่มีความไวสูงกว่า 100 ดีบี กับอินเกรดแอมป์หลอดสุญญากาศแบบพุชพูล น้ำเสียงจะมีลักษณะที่ขึงขัง เข้มแข็ง ซึ่งตรงกันข้ามกับเมื่อถูกขับด้วยอินทีเกรดแอมป์หลอดสุญญากาศแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ที่ใช้หลอดเอ้าท์พุทเบอร์ 2A3 และ 45
สำหรับเรื่องของอายุการใช้งานของลำโพงฟูลเร้นจ์ก็ถือว่ามีอายุอานามนานพอตัวทีเดียวเมื่อเปรียบเทียบกำลังลำโพงแบบหลายทาง ซึ่งอันที่จริงก็ขึ้นอยู่กับหลายเหตหลายปัจัย ถ้าใช้ถนอมดูแลรักษาดีๆก็น่าจะอยู่ได้เป็นทศวรรษนั่นแหละ
อย่างไรก็ดี แนะนำให้คุณ nop ไปตั้งกระทู้สอบถามเพิ่มเติมที่บอร์ดเครื่องเสียงหลอดน่าจะได้ข้อมูลเพิ่มอีกมาก เพราะที่นั้นมีเพื่อนๆที่มีประสพการณ์ตรงที่คอยให้คำแนะนำมากพอสมควรทีเดียว
แบบมีซับวูฟเฟอร์
ซับวูฟเฟอร์ถือเป็นอุปกรณ์ฯชิ้นสำคัญที่มีหน้าที่ในการเติมเสียงต่ำให้กับชุดเครื่องเสียง หรือจะกล่าวว่ามันเป็นสิ่งเสพติดสำหรับนักเล่นฯที่พิสมัยในอานุภาพความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นก็คงไม่เกินเลยไปนัก แล้วก็เป็นที่ทราบกันดีว่าซับวูฟเฟอร์ที่จะสามารถผลิตเสียงต่ำได้ลึกสุดๆ จำเป็นต้องมีขนาดหน้าตัดของกรวยลำโพงที่ใหญ่โตมโหฬารถึงจะสามารถ
ในยุคดิจิตอลครองโลกอย่างนี้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเสมอ หากผู้ผลิตปฏิบัติการณ์ทำการด้วย “ความมีใจรัก พากเพียรทำ เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน* ” เฉกเดียวกับซับวูฟเฟอร์นาม KEF C 4 ที่ได้รับมาทำรายงานในครั้งนี้ ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัดมันจึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับสถานที่พำนักพักอาศัยในยุคปัจจุบันด้วยประการทั้งปวง หลายท่านคงสงสัยว่า แล้วในเรื่องของประสิทธิภาพละมันจะเป็นตอบสนองได้สมประสงค์หรือเปล่า? เชิญร่วมพิสูจน์ไปพร้อมๆ กันเลยครับ
(* จากหนังสือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ของเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ในหน้า14 )
ในยุคดิจิตอลครองโลกอย่างนี้ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเสมอ หากผู้ผลิตปฏิบัติการณ์ทำการด้วย “ความมีใจรัก พากเพียรทำ เอาจิตฝักใฝ่ ใช้ปัญญาสอบสวน* ” เฉกเดียวกับซับวูฟเฟอร์นาม KEF C 4 ที่ได้รับมาทำรายงานในครั้งนี้ ด้วยขนาดที่เล็กกะทัดรัดมันจึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับสถานที่พำนักพักอาศัยในยุคปัจจุบันด้วยประการทั้งปวง หลายท่านคงสงสัยว่า แล้วในเรื่องของประสิทธิภาพละมันจะเป็นตอบสนองได้สมประสงค์หรือเปล่า? เชิญร่วมพิสูจน์ไปพร้อมๆ กันเลยครับ
(* จากหนังสือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ของเจ้าคุณอาจารย์พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ในหน้า14 )
ดังที่ได้เรียนไว้ในรายงานการทดลองฟังซับวูฟเฟอร์ KLIPSCH RW-12d ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ว่าซับวูฟเฟอร์ที่ติดตั้งตัววูฟเฟอร์ และท่อระบายเสียงต่ำอยู่ในบริเวณด้านหน้าของตัวตู้มักสามารถจัดตั้ง และปรับแต่งได้ง่าย ซึ่งผลการทดลองฟังที่ออกมาก็เป็นไปตามนั้น สำหรับวูฟเฟอร์ตู้นี้คงต้องขอเรียนว่าง่ายกว่าครับ แต่ก็เฉพาะในเรื่องของการจัดตั้งเท่านั้นส่วนในเรื่องการปรับแต่งรายละเอียดการทำงานคิดว่าความยากความง่ายขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้จัดตั้งมากกว่า

เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของซับวูฟเฟอร์ตู้นี้แล้วคิดว่าประเด็นที่ทำให้มันไม่ต้องการการโทอินน่าจะมาจากช่องระบายเสียงที่ถูกออกแบบให้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้ากว้าง และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้การจัดตั้งซับวูฟเฟอร์ตู้นี้กลายเป็นเรื่องง่าย เริ่มจากการวางซับวูฟเฟอร์ตู้นี้ลงที่มุมใดมุมหนึ่งของห้องที่สะดวกในเรื่องการต่อเชื่อมสายสัญญาณ และสายไฟเอซี จากนั้นก็ปรับแต่งรายละเอียดที่เอวีรีซีฟเวอร์ให้ถ่ายทอดเสียงเป็นแบบสเตริโอสองแชนแนลซึ่งมันจะส่งสัญญาณมาที่ซับวูฟเฟอร์ด้วย
คราวนี้ก็มาปรับแต่งความถี่ (CROSSOVER) และความไว (GAIN) ที่ตัวซับวูฟเฟอร์ แล้วเปิดอัลบั้มเพลงที่คุ้นเคยซึ่งให้เสียงดนตรีที่ครบถ้วนทั้งสามย่านหลัก จากนั้นก็นั่งฟัง และค่อยๆ ปรับตำแหน่ง พร้อมกับปรับแต่งรายละเอียดที่ซับวูฟเฟอร์ควบคู่กันไปทีละน้อยๆ เมื่อได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วก็อย่าเพิ่งเพลิดเพลินไปกับบทเพลง ให้ลองสลับตำแหน่งกลับมาที่อีกฟากฝั่งหนึ่งของห้องโดยทำซ้ำตามขั้นตอนเดิม จากนั้นก็นั่งฟัง แล้วพิจารณาว่าการจัดวางที่ตำแหน่งไหนของห้องให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่ากัน
คราวนี้ก็มาปรับแต่งความถี่ (CROSSOVER) และความไว (GAIN) ที่ตัวซับวูฟเฟอร์ แล้วเปิดอัลบั้มเพลงที่คุ้นเคยซึ่งให้เสียงดนตรีที่ครบถ้วนทั้งสามย่านหลัก จากนั้นก็นั่งฟัง และค่อยๆ ปรับตำแหน่ง พร้อมกับปรับแต่งรายละเอียดที่ซับวูฟเฟอร์ควบคู่กันไปทีละน้อยๆ เมื่อได้ผลเป็นที่น่าพอใจแล้วก็อย่าเพิ่งเพลิดเพลินไปกับบทเพลง ให้ลองสลับตำแหน่งกลับมาที่อีกฟากฝั่งหนึ่งของห้องโดยทำซ้ำตามขั้นตอนเดิม จากนั้นก็นั่งฟัง แล้วพิจารณาว่าการจัดวางที่ตำแหน่งไหนของห้องให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่ากัน
ซับวูฟเฟอร์ KEF C 4 เป็นซับวูเฟอร์ที่มีขนาดเล็กแต่แฝงไว้ด้วยประสิทธิภาพที่เปี่ยมล้น ด้วยภาคขยายในแบบคลาสดีถึงสองร้อยวัตต์ กอปรกับตัววูฟเฟอร์ที่เป็นแบบช่วงชักยาว เมื่อควบรวมกับการออกแบบช่องระบายที่แปลกแหวกแนวมันจึงทำให้ซับวูฟเฟอร์ตู้นี้สามารถผลิตมวลเสียงต่ำได้อย่างพอเหมาะพอดี ที่สำคัญมันยังสามารถดำดิ่งได้ลึกถึงยี่สิบเก้าเฮิรตซ์อีกด้วย
สำหรับท่านที่มีรสนิยมชื่นชอบเสียงต่ำแบบนุ่มๆ และมีพื้นที่ห้องฟังที่ค่อนข้างจำกัด หากท่านกำลังมองหาซับวูฟเฟอร์เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับชุดดูหนังฟังเพลงแบบมัลติแชนแนล หรือมีโครงการจะแปลงร่างให้กับชุดฟังเพลงแบบสเตริโสองแชนแนลเป็นแบบสองจุดหนึ่งแชนแนลในแบบฉบับที่ประหยัดเนื้อที่สำหรับการจัดวาง ขอเรียนว่าซับวูฟเฟอร์ตัวนี้คือหนึ่งในตัวเลือกที่ท่านควรหาโอกาสไปลองฟังในอันดับต้นๆ ครับ
แบบรอบทิศทาง
ลำโพงไม้รอบทิศทาง 200 วัตต์ 5.1แชนแนล
เพลิดเพลินกับเสียงดนตรีในบ้านของคุณให้เหมือนฟังคอนเสิร์ต!!
เพลิดเพลินกับประสบการณ์โฮมเธียเตอร์หรือการเล่นเกมที่ตื่นเต้นด้วยลำโพงรอบทิศทาง SW-HF5.1 6000 แบบหกชิ้น ด้วย SW-HF5.1 6000 จาก Genius คุณจะสัมผัสกับระบบเสียงรอบทิศทางในชุดลำโพงไม้เอนกประสงค์แบบโฮมเธียเตอร์ที่แข็งแรงและสง่างาม
ลำโพงไม้หกชิ้นรุ่นนี้ประกอบด้วยซับวูฟเฟอร์ 100 วัตต์และชุดขับเคลื่อน Long-Throw แบบ 8 นิ้วเพื่อให้เสียงเบสที่ลึกและหนักแน่น พร้อมด้วยลำโพงลูกห้าตัว 20 วัตต์สองทิศทางที่ให้กำลังเอาท์พุตรวม 200 วัตต์ (RMS) รีโมตคอนโทรลสำหรับควบคุมระดับเสียง และตั้งค่าอีควอไลเซอร์ สำหรับซับวูฟเฟอร์/ลำโพงกลาง/ลำโพงหน้า/ลำโพงรอบทิศทางเพื่อสร้างซาวน์เอฟเฟกต์ระดับสุดยอด อินพุตระบบเสียงจะช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น DVD, โทรทัศน์ และเครื่องเสียงสเตอริโออื่นๆ ได้อย่างสะดวก และจอ LCD ยังแสดงข้อมูลต่างๆ ตามที่ได้ตั้งไว้ การต่อสายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เนื่องจากลำโพง SW-HF5.1 6000 และสายเคเบิลจะมีรหัสสีกำกับไว้เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง
เมื่อคุณนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับรีโมตคอนโทรล คุณจะได้สัมผัสกับโรงภาพยนตร์ส่วนตัวด้วยลำโพงรุ่นนี้ ด้วยเสียงที่สมจริงราวกับมีชีวิตด้วยลำโพงรอบทิศทาง Genius SW-HF5.1 6000 และเพลิดเพลินกับเพลงของคุณเหมือนกับอยู่ในคอนเสิร์ต
ลำโพงไม้หกชิ้นรุ่นนี้ประกอบด้วยซับวูฟเฟอร์ 100 วัตต์และชุดขับเคลื่อน Long-Throw แบบ 8 นิ้วเพื่อให้เสียงเบสที่ลึกและหนักแน่น พร้อมด้วยลำโพงลูกห้าตัว 20 วัตต์สองทิศทางที่ให้กำลังเอาท์พุตรวม 200 วัตต์ (RMS) รีโมตคอนโทรลสำหรับควบคุมระดับเสียง และตั้งค่าอีควอไลเซอร์ สำหรับซับวูฟเฟอร์/ลำโพงกลาง/ลำโพงหน้า/ลำโพงรอบทิศทางเพื่อสร้างซาวน์เอฟเฟกต์ระดับสุดยอด อินพุตระบบเสียงจะช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับเครื่องเล่น DVD, โทรทัศน์ และเครื่องเสียงสเตอริโออื่นๆ ได้อย่างสะดวก และจอ LCD ยังแสดงข้อมูลต่างๆ ตามที่ได้ตั้งไว้ การต่อสายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เนื่องจากลำโพง SW-HF5.1 6000 และสายเคเบิลจะมีรหัสสีกำกับไว้เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง
เมื่อคุณนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นพร้อมกับรีโมตคอนโทรล คุณจะได้สัมผัสกับโรงภาพยนตร์ส่วนตัวด้วยลำโพงรุ่นนี้ ด้วยเสียงที่สมจริงราวกับมีชีวิตด้วยลำโพงรอบทิศทาง Genius SW-HF5.1 6000 และเพลิดเพลินกับเพลงของคุณเหมือนกับอยู่ในคอนเสิร์ต
หูฟังมีกี่แบบ และ มีอะไรบ้าง ???
เนื่องมาจากปัจจุบันมีหูฟังหลากหลายรูปแบบมากมายตามแต่ที่ผู้ผลิตจะคิดค้น ขึ้นมา ซึ่ง ก็ทำให้ New Entry หรือ นักเล่นหน้าใหม่พากันสับสน งงงวย ว่าจะเลือกหูฟังยังไง ใช้แบบไหนดี และอย่างไรที่เหมาะกับตัวเราที่สุด ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ผมจะแบ่งหูฟังออกเป็นกว้างๆก่อน 3 ส่วน โดยจะแย่งออกเป็น
- Full-Size
- Semi Full-Size
- Micro-Size
ทั้งสามส่วนคือกลุ่มของหูฟังในระดับใหญ่ ที่แบ่งตามขนาดของหูฟัง พูดง่ายๆคือ หูฟังทั้งหมดที่วางขายในโลกจะอยู่ใน 3 ส่วนหลักๆนี้ทั้งหมด ซึ่งในแต่ละส่วนก็แบ่งแยกออกเป็นลักษณะประเภทอย่าง Open Type , Semi-Open Type และ Close Type ขึ้นอยู่กับการ Design หูฟังแต่ละตัวที่ทางค่ายนั้นๆออกแบบมา ซึ่งลักษณะของหูฟังแบบต่างๆเหล่านี้มีผลต่อการใช้งาน และเรื่องของเสียงด้วยครับ รายละเอียดปลีกย่อยเดี๋ยวผมบอกทีเดียวในแต่ละส่วนนะครับ เพราะทั้ง Full-Size , Semi Full-Size และ Micro-Size ก็ล้วนมีรูปแบบคล้ายๆกันทั้งหมดครับ
ทีนี้เรามาดูกันว่าในแต่ละส่วนมีอะไรบ้าง......
เมื่อพูดถึง Full-size ก็ย่อมหมายถึงหูฟังที่มีขนาดใหญ่โต โดยอาจจะเป็นหูฟังที่มีลักษณะแบบครอบทั้งใบหู หรือแนบบนใบหูก็เป็นได้ ส่วนมากแล้วหูฟังแบบ Full-Size จะเหมาะสำหรับการใช้งานแบบส่วนตัวและอยู่กับที่ ไม่เหมาะสำหรับการพกพาไปไหนมาไหน ยกเว้นหูฟังที่ต้องใช้งานประเภท Monitor ทั้งหลาย บางตัวจำเป็นต้องพกไปใช้งานเวลาออกงาน PA แต่ก็ยังเป็นการพกพาเพื่อใช้ในสถานที่นั้นๆเท่านั้น
โดยปรกติแล้ว ผู้ผลิตมักจะแบ่งชนิดของหูฟังปลีกย่อยลงไปจากปรกติอีก ซึ่งนอกเหนือจากขนาดแล้ว ยังแบ่งตามความเหมาะสมในการใช้งานของหูฟังนั้นๆด้วย เช่น
~Studio Monitor~
มักจะเป็นหูฟังที่ให้เสียง Balance ที่ดี ไม่ค่อย Color มาก และชัดทุกย่าน ส่วนมากจะไม่เน้นเบสเป็นพิเศษ บางตัวเรียกว่าเบสหายไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นหูฟังที่ออกแบบมาให้ใช้งานในส่วนไหน เพราะการใช้งานใน Studio มีตั้งแต่ การ Mix เสียง , งาน Stage หรือ PA ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปเลยนะครับว่า หูฟังตัวนั้นตัวนี้ ใช้ได้เฉพาะงานนั้นงานนี้เท่านั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับคนใช้ด้วยครับ บางคนก็ชอบเสียงแนวนี้ บางคนชินกับสไตล์นี้ ตรงนี้ก็แล้วแต่ความชอบของคนใช้ครับ โดยมากแล้วหูฟังแบบ Monitor มักจะเป็นลักษณะแบบ Close Type มีบ้างบางตัวที่เป็นแบบ Semi-Open แต่ก็ส่วนใหญ่แบบ Close จะถูกหยิบนำมาใช้มากกว่า เพราะบางทีก็จำเป็นต้องให้มันเก็บเสียงจากภายนอกในระดับนึงครับ หูฟังเด่นๆในตระกูลนี้ก็ได้แก่
Sony MDR-V6
Sony MDR-7509
AKG K240
Sennheiser HD-25
Sennheiser HD280pro
Beyerdynamic DT770 , DT880 และ DT990
Audio-Technica A900 , A950Ltd
~Hi-Fi~
ถือเป็นส่วนที่นิยมมากที่สุด เพราะนักฟังเพลงทั่วไปมักนิยมเลือกหูฟังในส่วนนี้ จะมีบางคนที่ชอบสไตล์เสียงที่ออกแนวแข็งๆและเป็นธรรมชาติ ก็จะเลือกหูฟังในแบบ Monitor มาใช้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกหูฟังแบบนี้ทุกคน และยังเป็นส่วนที่ทางผู้ผลิตให้ความสำคัญในการออกแบบมากที่สุด และยังเป็นส่วนที่มีตัวเลือกมากที่สุดในตลาดอีกด้วย หูฟังส่วนนี้เหมาะสำหรับฟังเพลงทั่วๆไป ไม่เหมาะใช้งานใน Studio เท่าไหร่ เนื่องจากบางตัวนั้นจะค่อนข้าง Color เกินกว่าความเป็นจริง แต่ความ color นี่แหละครับที่ทำให้ฟังเพลงแล้วไพเราะเสนาะหู โดยมากแล้วหูฟังสำหรับ Hi-Fi มักจะเป็นหูฟังแบบ Open Type เพื่อเพิ่มความรู้สึกโปร่ง และสามารถสัมผัสถึง Airy หรือ อาการที่มีอากาศไหลรอดผ่าน image ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้น ทำให้ฟังเพลงแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น หูฟังเด่นๆในส่วนนี้ก็ได้แก่
Sennheiser - HD595 , HD650 , Orpheus
Grado - SR60 , SR225 , RS1 , GS1000 , MS-1 , MS-2 , MS-Pro
Audio-Technica - AD2000 , W5000 , L3000
AKG - K701
STAX - LAMPDA , OmegaII
นอกจากนี้แล้ว ยังมีหูฟังที่ Design มาเฉพาะทางอย่างเช่น Multimedia Headphone ประเภทที่สามารถแยกเสียงออกเป็น Multi Channel ได้ อย่างหูฟัง Creative HQ-2300D ที่ใช้ระบบ Dolby Headphone พร้อม Driver หูฟัง 3 Driver แยกเป็น Tweeter , Mid-Range และ Bass ซึ่งจะมีตัวควบคุมในการแยกสัญญานให้เป็น 5.1 Channel มาพร้อมใน set ด้วย อันที่จริงแล้วในตลาดก็ยังมียี่ห้ออื่นๆที่ทำออกมาแข่งขันกันอย่างเอาเป็น เอาตายอีกด้วย อย่างเช่น Exsound Starfish 7.1 , Zalman 7.1 ที่มีราคาถูกกว่า HQ-2300D ( แต่คุณภาพเสียงยังด้อยกว่าหน่อย ) อีกทั้งยังมีหูฟังประเภท Wireless หรือไร้สาย ออกมาด้วย แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ เนื่องจากมีราคาสูง และคุณภาพเสียงยังไม่คุ้มต่อราคา
นอกเหนือจากยี่ห้อที่กล่าวมา ยังมีอีก Brand หนึ่งที่มุ่งเน้นในตลาดนี้โดยเฉพาะ ซึ่ง Brand นั้นก็คือ Ultrasone ที่มาพร้อมเทคโนโลยี S-logic ข้อแตกต่างของ Ultrasone กับยี่ห้ออื่นๆคือ Ultrasone ไม่ได้เน้นในเรื่องของ Multi Channel ดังนั้นจึงไม่มี Adaptor ในการแปลงสัญญานแถมมาให้ด้วย แต่จะไปเน้นในเรื่องการออกแบบให้หูฟังสามารถสร้างมิติกว้างขวางโดยไม่ต้อง ใช้เครื่องแปลงให้เสียเวลา ดังนั้นหูฟังของ Ultrasone ที่มี S-Logic แปะอยู่ ก็จะให้เสียงได้รอบทิศทางเหมือนกับในโรงหนัง โดยที่เป็นเสียงรอบทิศทางที่เป็นธรรมชาติกว่าของพวกหูฟังแบบ 5.1 Channel ครับ
หูฟังประเภทนี้ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีห้องกว้างๆและอยากดูหนังระบบ 5.1 แบบเต็มอิ่มและไม่รบกวนใคร
หูฟังแบบ Semi Full-size จะเป็นหูฟังที่มีขนาดเล็กกว่า Full-Size พอสมควร เป็นหูฟังที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถพกพาไปฟังข้างนอกบ้านได้โดยสะดวก เท่าที่ผมเคยอ่านมารู้สึกว่า ตัว Semi Full-Size นั้น จะปรากฏโฉมครั้งแรกพร้อมกับ player ในระดับตำนานอย่าง Sony Walkman รุ่นแรกเลยครับ หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาออกมาเรื่อยๆตามลำดับ จนปัจจุบันนั้น ถือว่าหูฟังแบบ Semi Full-Size มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกมากมาย ซึ่งจุดเด่นของ Semi Full-size ก็คือ ให้มิติใกล้เคียงกับความเป็น Full-Size แต่สามารถติดตัวไปไหนมาไหนได้แบบสบายๆ บางรุ่นออกแบบ Case ใส่ออกมาได้ดีมากๆ ทำให้การพกพายิ่งสะดวกมากยิ่งขึ้น
การแบ่งแยกหูฟังในส่วนนี้ จะแยกตามรูปแบบการ design ของหูฟัง โดยส่วนใหญ่จะแยกออกเป็น
Street Style / Earpad Headphone ( On The Ear )

โดยปรกติแล้ว หูฟังประเภท Street Style กับ Earpad Headphone จะถูกแบ่งแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด เพราะลักษณะที่แท้จริงของ Street Style คือ ต้องเป็นหูฟังที่มีก้านเชื่อมหูฟังทั้งสองข้างอ้อมไปทางด้านหลังหัว หรือที่เรียกกันว่า “ Neckband ” ในขณะที่ตัว Earpad Headphone จะเป็นก้านแบบคาดหัวที่เรียกกันว่า “ Headband ” แต่ปัจจุบัน ผู้ผลิตเริ่มนำมาใช้เรียกรวมๆกันว่าเป็น Street Style ทั้งหมด ซึ่งอันที่จริงผมว่า ควรจะเรียกแยกออกจากกันจะดีกว่า เพราะรูปแบบมันไม่ได้เหมือนกันเอาซะเลย และถ้าเรียกแยกจากกัน ผมว่า เวลาพูดถึงหูฟังทั้งสองอย่างจะทำให้อีกฝ่ายที่เราคุยด้วย เข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิม เรียกรวมๆกันแบบนี้บางทีก็สับสนเหมือนกันนะครับ
หูฟังแบบ Street Style ผมยังหาข้อมูลจุดเริ่มต้นงาน design แบบนี้ไม่ได้ แต่โดยส่วนตัวเท่าที่ค้นหาหลักฐานย้อนหลังมา เชื่อว่า น่าจะเป็นการพัฒนามาจาก Clip-Ear มากกว่าที่จะเป็นการพัฒนาจาก Earpad Headphone ถึงแม้ว่าหูฟังแบบ Semi Full-Size ที่กำเนิดมาครั้งแรกจะเป็นแบบ Earpad Headphone ก็ตาม ซึ่งถ้าดูจากวิธีการใส่ของหูฟังแบบ Street Style หลายๆคนก็คงเข้าใจว่าทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น
ส่วนมากหูฟังแบบ Street Style จะเหมาะกับงานประเภท Outdoor หรือ การออกกำลังกายมากๆ เพราะหูฟังจะล๊อคติดกับหูเราได้แน่นสนิท เวลาที่เราออกกำลังกายทั่วๆไปอย่างเช่น จ๊อคกิ้ง , ขี่จักรยาน และอื่นๆ ตัวหูฟังจะไม่หลุดออกง่ายๆ ผิดกับหูฟังประเภท Earpad Headphone ที่เน้นการใช้งานในลักษณะที่นุ่มนวลกว่านั้น และมีการเคลื่อนไหวน้อยกว่านั้น เนื่องจากจุดอ่อนของการคาดหัวแบบ “ Headband ” ที่ถ้าเกิดมีการเคลื่อนไหวมากๆ อาจจะหลุดได้ง่ายๆ ถึงแม้จะออกแบบให้รัดได้แน่นแค่ไหน ก็ยังคงสู้การล๊อคเข้าที่ก้านหว่างหูแบบ Street Style ไม่ได้ครับ ดังนั้น หูฟังแบบ Earpad Headphone จึงเหมาะจะใช้เวลาเดินทางไปไหนมาไหนแบบสบายๆ เช่น ขึ้นรถไฟฟ้า , นั่งรถเมล์ หรือเดินบนท้องถนนทั่วๆไป หูฟังเด่นๆในส่วนนี้ก็ได้แก่
KOSS - Portapro , Sportapro ( ตัวนี้สามารถเปลี่ยนเป็น Street Style และ Earpad ได้ )
Audio-Technica - ESW9 , ES7
Grado - iGrado
AKG - K412p
Clip-On / Clip-Ear

หูฟังแบบ Clip-On หรือ บางคนเรียกว่า Clip-Ear จะมีลักษณะใกล้เคียงกับหูฟังแบบ Street Style มากกว่าพวก Earpad Headphone เพราะมีส่วนก้านล๊อคเข้าที่ก้านหูคล้ายๆกับของ Street Style เพียงแต่จะไม่มี Neckband อ้อมไปด้านหลังคอ เพราะต้องการให้ใส่แล้วรู้สึกแบบเบาสบายไม่เกะกะ โดยมากหูฟังประเภทนี้จะค่อนข้างล๊อคติดแนบแน่นกับหูเราพอสมควร ดังนั้นบางคนจึงใช้ในการออกกำลังกายทั่วไปด้วย ข้อดีอีกอย่างคือมันพกพาง่ายกว่าพวก Street Style หรือ Earpad Headphone เพราะไม่มีก้านที่ต้องพับให้วุ่นวาย มีเพียง Driver ซ้ายและขวาเท่านั้น ตัว Clip-On จึงมีผู้นิยมในระดับนึงทีเดียว ส่วนยี่ห้อและรุ่นที่เด่นๆในส่วนนี้ก็ได้แก่
KOSS - KSC35 , KSC75
Audio-Technica - EM9r , EM9d , EM700ti
และด้วยอนิงสงค์ของ iPOD และ PMP Player ที่สามารถดูหนังแบบพกพาไปไหนมาไหนได้ ทำให้มี Earpad Headphone และ Street Style สำหรับการชมภาพยนตร์ออกมาด้วย ซึ่งแน่นอน เป็นตัวที่มาจากค่าย Ultrasone เช่นเดิม โดยตัวที่เด่นของทาง Eadpad Headphone ของค่ายนี้ก็คือ HFI-15G ส่วนตัวที่เป็น Steet Style ก็เป็น iCAN
หูฟังประเภท Micro Size เป็นหูฟังที่ถูกพัฒนาลงมาจาก Semi Full-size เพื่อให้สามารถพกพาได้ง่ายขึ้น และใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งในท้องตลาดปัจจุบันถือได้ว่าเป็นหูฟังที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดใน บรรดาหูฟังทุกประเภท และมียี่ห้อที่หลากหลายมากที่สุด แต่ก็เป็นหูฟังที่ทำให้มีคุณภาพดีได้ยากที่สุดเช่นเดียวกัน เพราะขนาด Transducer ที่เล็กมาก และระยะที่ใกล้ชิดกับหูมากๆ ทำให้การออกแบบเพื่อได้มิติที่ดีนั้นทำได้ยากมากเลยทีเดียว ดังนั้นหูฟังที่เด่นๆจริงๆจึงมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อ และไม่กี่รุ่น
หูฟังแบบ Micro-Size นั้นสามารถแยกย่อยออกมาได้ 3 ประเภทหลักๆ โดยแบ่งออกเป็น Earbud , In-Ear และ Hybrid ซึ่งเป็นหูฟังที่ผสมผสานระหว่าง In-ear และ Earbud เข้าด้วยกัน ดังนั้นเรามาเริ่มกันที่หูฟังที่เป็นที่นิยมที่สุดในท้องตลาดขณะนี้ก่อนเป็น อันดับแรกครับ
Earbud
หูฟังแบบ Earbud ถือว่าเป็นหูฟังสำหรับผู้เริ่มต้นในยุคนี้เลยทีเดียว เพราะ player ส่วนใหญ่ที่ขายในท้องตลาด มักจะแถมหูฟังแบบ Earbud มาพร้อมเสร็จสรรพในชุดอยู่แล้ว กระทั่งพวก Handfree ที่ใช้กับมือถือทั้งหลายก็ยังใช้หูฟังแบบ earbud เป็นตัวยืนพื้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงหูฟังคนส่วนใหญ่ย่อมนึกถึง earbud ก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ก็อย่างที่ผมเกริ่นไว้ก่อนแล้ว หูฟังแบบ Earbud นั้นถือว่าเป็นหูฟังที่ออกแบบให้ดีได้ยากมากๆ เพราะข้อจำกัดในเรื่องขนาดและระยะของเสียงจาก Driver ไปยังแก้วหูนั้น มันใกล้มากเกินไป ดังนั้นหูฟังโดยทั่วๆไปที่วางขายกันอยู่โดยเฉพาะของ no name หรือของจีนแดง มักจะให้เสียงที่ไม่ดีจนคนที่ไม่ได้มีหูทองก็สามารถแยกออกได้ง่ายๆ แถมคุณภาพการผลิตก็แย่ ใช้งานได้ไม่เท่าไหร่ก็มักจะพังเอาง่ายๆ ไม่สายขาดในก็ driver หลุดออกมาจาก Housing ดังนั้นการเลือกหูฟังประเภทนี้ควรดูพวก Brand ที่มีชื่อเสียงไว้ก่อน และค่อยลองฟังเสียงก่อนจะตัดสินใจซื้อมาก เพราะจะช่วยให้อัตราการเสี่ยงที่เจอหูฟังด้อยคุณภาพลดลงไปเยอะครับ หูฟังในส่วนนี้ที่เด่นๆก็มี
Sennheiser MX400 , MX500, MX90VC
Sony MDR-E888
Yuin PK3 , PK2 และ PK1
Audio-Technica CM700 , CM700ti
Soken AS-800
จะว่าไป ตลาดหูฟังของ Earbud ผมถือว่าเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดนะครับ เรียกได้ว่านำหน้าตลาดของหูฟังในส่วนอื่นๆเลยทีเดียว เนื่องจากหูฟังประเภทนี้ หาซื้อง่าย ราคาถูก และมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือก แถมยังคุ้นเคยเพราะอยู่คู่กับเครื่องเล่นแบบพกพามาช้านาน คนที่ใช้ก็สบายใจมากกว่าจะใช้เป็นพวกยัดหูแบบ In-ear เพราะบางคนจะค่อนข้างกลัวเรื่องเอาหูฟังยัดเข้าไปลึกๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว หูฟังแบบ Earbud ที่ใช้ๆกันก็จะเป็นหูที่แถมมากับเครื่องเล่น MP3 ทั้งนั้นแหละครับ
และด้วยความที่เป็นหูฟังที่อยู่ในตลาดมาช้านาน ดังนั้น มันก็ย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า “ ของในตำนาน ” ครับ
ถ้าจะพูดถึงหูฟังที่เหมาะจะใช้คำว่าตำนานของระดับ Full-Size ก็คงจะเป็นหูฟังที่เลิกผลิตไปแล้ว แถมยังหาซื้อได้ค่อนข้างยากด้วย เช่น
- สาย Sony ก็จะเป็น Sony CD3000 , Sony Qualia 010 และ Sony R10
- สาย Grado ก็น่าจะเป็น Grado PS-1 , PS-2 และ Grado HP-1000
- สาย Audio-Technica ก็จะเป็น ATH L3000 และ ATH W2002
- สาย Sennheiser ก็คงเป็น Orpheus ตัวเดียวเลยล่ะครับ
- สาย AKG ก็เป็น AKG K1000 และ AKG K340
แต่ถ้าเป็นระดับ Earbud ก็คงจะต้องยกให้ Sony กับ Aiwa ที่เป็นเจ้าผู้ครองตลาดสมัยเทปเพลงยังโด่งดังกับเครื่องเล่นพกพาที่เรียกกันว่า ซาวน์อะเบ้าท์ หรือ Walkman นั่นแหละครับ ซึ่งทั้งคู่ก็มีหูฟังที่เรียกว่า “ทรงคุณค่า” อยู่คนละตัวคือ
- Sony MDR E-484
- Aiwa HP-V99 , Aiwa HP-D9
ผมเองก็เคยฟังแค่ตัวเดียว นั่นก็คือ E-484 ซึ่ง ถ้าจะพูดกันเฉพาะเนื้อเสียง จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ Westone UM2 ครับ แต่ในแง่ของมิตินี่ ไม่เหมือนใครเลยครับ เพราะให้ image ใหญ่ soundstage กว้าง และมีความเป็น 3 มิติเอามากๆ แต่ติดตรงเสียงกลางจะขุ่นๆนิดแต่ก็ไม่หนักหนาเท่า UM2 เพระาอย่างน้อยย่านสูงก็ยังมีความใสกว่าครับ ส่วน Aiwa นี่ยังไม่กล้าฟันธง เพราะตัวที่เคยลองเก่าไปนิดนึงครับ ต้องของลองดูตัวที่สภาพสมบูรณ์กว่านี้อีกหน่อยค่อยว่ากันใหม่
อีกตัวนึงของ Sony ที่กำลังจะกลายเป็นตำนาน ( หรือหาซื้อไม่ได้อีกแล้ว ) ก็คือ Sony MDR-E888 ครับ ตัวนี่จะให้เสียงที่หวานใสและเบสนุ่ม เหมาะสำหรับฟังเพลง Pop และเพลง Jazz เอามากๆครับ ปัจจุบันเห็นว่ากำลังจะเลิกผลิตแล้ว เพราะจากอดีตที่เคยมีเวอร์ชั่นอย่าง Made in Japan แล้วก็กลายมาเป็น Made in China จนตอนนี้ผมเจอแบบ Made in Thailand แล้วครับ คาดว่าคงได้หายไปจากตลาดในไม่ช้านี้ เพราะมีรุ่นน้องคนใหม่อย่าง Sony EX90 ขึ้นมาแทนที่แล้วครับ ใครอยากได้ก็รีบๆหาซื้อมาเก็บไว้แล้วกันครับ
ในส่วนของ Micro-size นั้น นอกจากจะมี Earbud แล้ว ก็ยังมีอีกส่วนที่กำลังเป็นกระแสที่มาแรงในขณะนี้ นั่นก็คือ IEM หรือ หูฟังแบบ In-ear นั่นเองครับ
เป็นหูฟังที่เหมาะสมกับการใช้งานยุคปัจจุบันที่สุดแล้วครับ และยังเป็นหูฟังมาแรงทุกขณะ จนแทบจะทุกค่ายต่างก็พากันผลิตหูฟังประเภทนี้ครับ ที่สำคัญ ช่วงหลังๆมานี่ Mp3 Player ยี่ห้อต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนมาแถมเป็นหูฟังแบบ In-ear กันเป็นส่วนใหญ่เลยครับ คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะแทนที่ earbud ได้อย่างสมบูรณ์เลยทีเดียวเชียวครับ
หูฟังประเภท In-ear นั้น แรกเริ่มเดิมที ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานใน Studio , Stage และ PA เป็นหลัก เพราะความที่มันมีระบบ isolation หรือ การเก็บเสียงที่ดี เหมาะสำหรับใช้งานที่ที่อึกทึกเอามากๆเลยทีเดียว ดังนั้นในยุคแรกๆมันจึงได้ใช้ชื่อว่า IEM หรือ In Ear Monitor นั่นเอง เพราะส่วนใหญ่เค้าจะเอามาใช้งานด้านเสียง มากกว่าเอามาฟังเพลง โดยผู้ผลิตเจ้าแรกๆก็คงจะเป็น Shure นี่แหละครับ ซึ่งทางในตอนนั้นทาง Shure ก็ได้ว่าจ้างบริษัท Westone ให้ผลิตหูฟังในชื่อว่า Shure E1C ออกมา และต่อมาในภายหลัง Westone ก็ออกหูฟังของตัวเองในชื่อ UM1 และ UM2
หลายๆคนมักจะกลัวว่า หูฟังแบบ In-ear จะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าหูฟังประเภทอื่น แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าพูดถึงความอันตรายนี่ ก็พอๆกันทุกแบบแหละครับ ขึ้นอยู่กับการใช้งานมากกว่า ถ้าเปิดดังเกินไป ไม่ว่าจะหูฟังแบบไหนมันก็สร้างปัญหาให้กับเราได้ทั้งนั้นแหละครับ ผมว่า แบบ In-ear จะปลอดภัยกว่าหน่อยด้วยซ้ำ เพราะเราไม่ต้องเปิดเสียงดังแข่งกับเสียงรอบข้างเรา ทำให้เราฟังเพลงได้เพราะขึ้นโดยไม่ต้องเปิดเสียงดัง หูเราก็จะอยู่คู่กับเราไปได้อีกนานเลยล่ะครับ หูฟังที่เด่นๆในส่วนของ In-ear ก็จะมี
Ultimate Ears - Super.fi 3 live , Super.fi 4 , Super.fi 5 pro และ Triple.fi 10 pro
Westone - UM2
Shure - E3C , E4C , E5C และ SE530
Etymotic - ER4P, ER6i
Creative - EP630
Philips - SHE9700
Sennheiser - CX300 , CX500
Crossroad - Mylarone X3
Soundmagic - PL11, PL12 , PL30
SONY - MDR-EX500 , MDR-EX700
Jays - qJAYs
Altec-Lensing - IM716
นอกเหนือจากหูฟังในแบบ Mass Production แล้ว ยังมีหูฟัง In-ear แบบที่ Build by order ในลักษณะที่เป็นหูฟังแบบพอเหมาะพอเจาะกับหูของเราเป๊ะๆ ในชื่อว่า Custom In-ear ซึ่ง ตอนนี้กำลังเริ่มเป็นที่นิยมในระดับนึงเลยทีเดียว เพราะหูฟังแบบนี้จะเสียบเข้าพอดีกับหูเราและจะค่อนข้างเก็บเสียงได้ดีกว่าพวกที่ใช้ Housing แบบ Universal ที่วางขายในท้องตลาดทั่วๆไป
แต่เนื่องจาก Custom In-ear มีราคาสูง ฟังได้แค่คนเดียว แถมยังขายต่อไม่ได้อีก ทำให้คนที่นิยมก็ยังอยู่กันในแค่วงแคบๆเท่านั้นครับ เห็นว่าอีกไม่นานจะมีหูฟังแบบ Custom ของคนไทย ก็หวังว่าจะออกมาไม่แพง และช่วยให้คนที่เล่นหูฟังมีทางเลือกมากขึ้นนะครับ
การเลือกซื้อหูฟังซักตัว นอกเหนือจากเรื่องเสียงและ Design แล้ว เราก็ควรจะดูด้วยครับว่า ส่วนใหญ่เราใช้งานในลักษณะไหน เช่น ออกนอกบ้านบ่อยๆ ใช้ข้างนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ก็ควรใช้หูฟังแบบ Semi-Fullsize หรือ Micro-Size ไปเลย หรือ ถ้าอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ก็น่าจะหา Full-size ดีๆซักตัว ใส่สบายๆจะดีกว่าครับ จริงๆของพวกนี้ก็ไม่ได้มีกฎกำหนดตายตัวว่าจะใช้อะไรแบบไหนที่ไหนยังไง เพราะผมยังเคยเห็นคนใส่ Full-Size เดินขึ้นรถเมล์หน้าตาเฉย แต่ถ้าเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน เราจะมีความสุขกับการฟังเพลงได้มากกว่าครับ
- Full-Size
- Semi Full-Size
- Micro-Size
ทั้งสามส่วนคือกลุ่มของหูฟังในระดับใหญ่ ที่แบ่งตามขนาดของหูฟัง พูดง่ายๆคือ หูฟังทั้งหมดที่วางขายในโลกจะอยู่ใน 3 ส่วนหลักๆนี้ทั้งหมด ซึ่งในแต่ละส่วนก็แบ่งแยกออกเป็นลักษณะประเภทอย่าง Open Type , Semi-Open Type และ Close Type ขึ้นอยู่กับการ Design หูฟังแต่ละตัวที่ทางค่ายนั้นๆออกแบบมา ซึ่งลักษณะของหูฟังแบบต่างๆเหล่านี้มีผลต่อการใช้งาน และเรื่องของเสียงด้วยครับ รายละเอียดปลีกย่อยเดี๋ยวผมบอกทีเดียวในแต่ละส่วนนะครับ เพราะทั้ง Full-Size , Semi Full-Size และ Micro-Size ก็ล้วนมีรูปแบบคล้ายๆกันทั้งหมดครับ
ทีนี้เรามาดูกันว่าในแต่ละส่วนมีอะไรบ้าง......
Full-Size

เมื่อพูดถึง Full-size ก็ย่อมหมายถึงหูฟังที่มีขนาดใหญ่โต โดยอาจจะเป็นหูฟังที่มีลักษณะแบบครอบทั้งใบหู หรือแนบบนใบหูก็เป็นได้ ส่วนมากแล้วหูฟังแบบ Full-Size จะเหมาะสำหรับการใช้งานแบบส่วนตัวและอยู่กับที่ ไม่เหมาะสำหรับการพกพาไปไหนมาไหน ยกเว้นหูฟังที่ต้องใช้งานประเภท Monitor ทั้งหลาย บางตัวจำเป็นต้องพกไปใช้งานเวลาออกงาน PA แต่ก็ยังเป็นการพกพาเพื่อใช้ในสถานที่นั้นๆเท่านั้น
โดยปรกติแล้ว ผู้ผลิตมักจะแบ่งชนิดของหูฟังปลีกย่อยลงไปจากปรกติอีก ซึ่งนอกเหนือจากขนาดแล้ว ยังแบ่งตามความเหมาะสมในการใช้งานของหูฟังนั้นๆด้วย เช่น
~Studio Monitor~
มักจะเป็นหูฟังที่ให้เสียง Balance ที่ดี ไม่ค่อย Color มาก และชัดทุกย่าน ส่วนมากจะไม่เน้นเบสเป็นพิเศษ บางตัวเรียกว่าเบสหายไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นหูฟังที่ออกแบบมาให้ใช้งานในส่วนไหน เพราะการใช้งานใน Studio มีตั้งแต่ การ Mix เสียง , งาน Stage หรือ PA ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปเลยนะครับว่า หูฟังตัวนั้นตัวนี้ ใช้ได้เฉพาะงานนั้นงานนี้เท่านั้น บางทีก็ขึ้นอยู่กับคนใช้ด้วยครับ บางคนก็ชอบเสียงแนวนี้ บางคนชินกับสไตล์นี้ ตรงนี้ก็แล้วแต่ความชอบของคนใช้ครับ โดยมากแล้วหูฟังแบบ Monitor มักจะเป็นลักษณะแบบ Close Type มีบ้างบางตัวที่เป็นแบบ Semi-Open แต่ก็ส่วนใหญ่แบบ Close จะถูกหยิบนำมาใช้มากกว่า เพราะบางทีก็จำเป็นต้องให้มันเก็บเสียงจากภายนอกในระดับนึงครับ หูฟังเด่นๆในตระกูลนี้ก็ได้แก่
Sony MDR-V6
Sony MDR-7509
AKG K240
Sennheiser HD-25
Sennheiser HD280pro
Beyerdynamic DT770 , DT880 และ DT990
Audio-Technica A900 , A950Ltd
~Hi-Fi~
ถือเป็นส่วนที่นิยมมากที่สุด เพราะนักฟังเพลงทั่วไปมักนิยมเลือกหูฟังในส่วนนี้ จะมีบางคนที่ชอบสไตล์เสียงที่ออกแนวแข็งๆและเป็นธรรมชาติ ก็จะเลือกหูฟังในแบบ Monitor มาใช้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกหูฟังแบบนี้ทุกคน และยังเป็นส่วนที่ทางผู้ผลิตให้ความสำคัญในการออกแบบมากที่สุด และยังเป็นส่วนที่มีตัวเลือกมากที่สุดในตลาดอีกด้วย หูฟังส่วนนี้เหมาะสำหรับฟังเพลงทั่วๆไป ไม่เหมาะใช้งานใน Studio เท่าไหร่ เนื่องจากบางตัวนั้นจะค่อนข้าง Color เกินกว่าความเป็นจริง แต่ความ color นี่แหละครับที่ทำให้ฟังเพลงแล้วไพเราะเสนาะหู โดยมากแล้วหูฟังสำหรับ Hi-Fi มักจะเป็นหูฟังแบบ Open Type เพื่อเพิ่มความรู้สึกโปร่ง และสามารถสัมผัสถึง Airy หรือ อาการที่มีอากาศไหลรอดผ่าน image ของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้น ทำให้ฟังเพลงแล้วรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น หูฟังเด่นๆในส่วนนี้ก็ได้แก่
Sennheiser - HD595 , HD650 , Orpheus
Grado - SR60 , SR225 , RS1 , GS1000 , MS-1 , MS-2 , MS-Pro
Audio-Technica - AD2000 , W5000 , L3000
AKG - K701
STAX - LAMPDA , OmegaII
นอกจากนี้แล้ว ยังมีหูฟังที่ Design มาเฉพาะทางอย่างเช่น Multimedia Headphone ประเภทที่สามารถแยกเสียงออกเป็น Multi Channel ได้ อย่างหูฟัง Creative HQ-2300D ที่ใช้ระบบ Dolby Headphone พร้อม Driver หูฟัง 3 Driver แยกเป็น Tweeter , Mid-Range และ Bass ซึ่งจะมีตัวควบคุมในการแยกสัญญานให้เป็น 5.1 Channel มาพร้อมใน set ด้วย อันที่จริงแล้วในตลาดก็ยังมียี่ห้ออื่นๆที่ทำออกมาแข่งขันกันอย่างเอาเป็น เอาตายอีกด้วย อย่างเช่น Exsound Starfish 7.1 , Zalman 7.1 ที่มีราคาถูกกว่า HQ-2300D ( แต่คุณภาพเสียงยังด้อยกว่าหน่อย ) อีกทั้งยังมีหูฟังประเภท Wireless หรือไร้สาย ออกมาด้วย แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่ เนื่องจากมีราคาสูง และคุณภาพเสียงยังไม่คุ้มต่อราคา
นอกเหนือจากยี่ห้อที่กล่าวมา ยังมีอีก Brand หนึ่งที่มุ่งเน้นในตลาดนี้โดยเฉพาะ ซึ่ง Brand นั้นก็คือ Ultrasone ที่มาพร้อมเทคโนโลยี S-logic ข้อแตกต่างของ Ultrasone กับยี่ห้ออื่นๆคือ Ultrasone ไม่ได้เน้นในเรื่องของ Multi Channel ดังนั้นจึงไม่มี Adaptor ในการแปลงสัญญานแถมมาให้ด้วย แต่จะไปเน้นในเรื่องการออกแบบให้หูฟังสามารถสร้างมิติกว้างขวางโดยไม่ต้อง ใช้เครื่องแปลงให้เสียเวลา ดังนั้นหูฟังของ Ultrasone ที่มี S-Logic แปะอยู่ ก็จะให้เสียงได้รอบทิศทางเหมือนกับในโรงหนัง โดยที่เป็นเสียงรอบทิศทางที่เป็นธรรมชาติกว่าของพวกหูฟังแบบ 5.1 Channel ครับ
หูฟังประเภทนี้ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีห้องกว้างๆและอยากดูหนังระบบ 5.1 แบบเต็มอิ่มและไม่รบกวนใคร
Semi Full-size


หูฟังแบบ Semi Full-size จะเป็นหูฟังที่มีขนาดเล็กกว่า Full-Size พอสมควร เป็นหูฟังที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถพกพาไปฟังข้างนอกบ้านได้โดยสะดวก เท่าที่ผมเคยอ่านมารู้สึกว่า ตัว Semi Full-Size นั้น จะปรากฏโฉมครั้งแรกพร้อมกับ player ในระดับตำนานอย่าง Sony Walkman รุ่นแรกเลยครับ หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาออกมาเรื่อยๆตามลำดับ จนปัจจุบันนั้น ถือว่าหูฟังแบบ Semi Full-Size มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกมากมาย ซึ่งจุดเด่นของ Semi Full-size ก็คือ ให้มิติใกล้เคียงกับความเป็น Full-Size แต่สามารถติดตัวไปไหนมาไหนได้แบบสบายๆ บางรุ่นออกแบบ Case ใส่ออกมาได้ดีมากๆ ทำให้การพกพายิ่งสะดวกมากยิ่งขึ้น
การแบ่งแยกหูฟังในส่วนนี้ จะแยกตามรูปแบบการ design ของหูฟัง โดยส่วนใหญ่จะแยกออกเป็น
Street Style / Earpad Headphone ( On The Ear )


โดยปรกติแล้ว หูฟังประเภท Street Style กับ Earpad Headphone จะถูกแบ่งแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด เพราะลักษณะที่แท้จริงของ Street Style คือ ต้องเป็นหูฟังที่มีก้านเชื่อมหูฟังทั้งสองข้างอ้อมไปทางด้านหลังหัว หรือที่เรียกกันว่า “ Neckband ” ในขณะที่ตัว Earpad Headphone จะเป็นก้านแบบคาดหัวที่เรียกกันว่า “ Headband ” แต่ปัจจุบัน ผู้ผลิตเริ่มนำมาใช้เรียกรวมๆกันว่าเป็น Street Style ทั้งหมด ซึ่งอันที่จริงผมว่า ควรจะเรียกแยกออกจากกันจะดีกว่า เพราะรูปแบบมันไม่ได้เหมือนกันเอาซะเลย และถ้าเรียกแยกจากกัน ผมว่า เวลาพูดถึงหูฟังทั้งสองอย่างจะทำให้อีกฝ่ายที่เราคุยด้วย เข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิม เรียกรวมๆกันแบบนี้บางทีก็สับสนเหมือนกันนะครับ
หูฟังแบบ Street Style ผมยังหาข้อมูลจุดเริ่มต้นงาน design แบบนี้ไม่ได้ แต่โดยส่วนตัวเท่าที่ค้นหาหลักฐานย้อนหลังมา เชื่อว่า น่าจะเป็นการพัฒนามาจาก Clip-Ear มากกว่าที่จะเป็นการพัฒนาจาก Earpad Headphone ถึงแม้ว่าหูฟังแบบ Semi Full-Size ที่กำเนิดมาครั้งแรกจะเป็นแบบ Earpad Headphone ก็ตาม ซึ่งถ้าดูจากวิธีการใส่ของหูฟังแบบ Street Style หลายๆคนก็คงเข้าใจว่าทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น
ส่วนมากหูฟังแบบ Street Style จะเหมาะกับงานประเภท Outdoor หรือ การออกกำลังกายมากๆ เพราะหูฟังจะล๊อคติดกับหูเราได้แน่นสนิท เวลาที่เราออกกำลังกายทั่วๆไปอย่างเช่น จ๊อคกิ้ง , ขี่จักรยาน และอื่นๆ ตัวหูฟังจะไม่หลุดออกง่ายๆ ผิดกับหูฟังประเภท Earpad Headphone ที่เน้นการใช้งานในลักษณะที่นุ่มนวลกว่านั้น และมีการเคลื่อนไหวน้อยกว่านั้น เนื่องจากจุดอ่อนของการคาดหัวแบบ “ Headband ” ที่ถ้าเกิดมีการเคลื่อนไหวมากๆ อาจจะหลุดได้ง่ายๆ ถึงแม้จะออกแบบให้รัดได้แน่นแค่ไหน ก็ยังคงสู้การล๊อคเข้าที่ก้านหว่างหูแบบ Street Style ไม่ได้ครับ ดังนั้น หูฟังแบบ Earpad Headphone จึงเหมาะจะใช้เวลาเดินทางไปไหนมาไหนแบบสบายๆ เช่น ขึ้นรถไฟฟ้า , นั่งรถเมล์ หรือเดินบนท้องถนนทั่วๆไป หูฟังเด่นๆในส่วนนี้ก็ได้แก่
KOSS - Portapro , Sportapro ( ตัวนี้สามารถเปลี่ยนเป็น Street Style และ Earpad ได้ )
Audio-Technica - ESW9 , ES7
Grado - iGrado
AKG - K412p
Clip-On / Clip-Ear

KOSS - KSC35 , KSC75
Audio-Technica - EM9r , EM9d , EM700ti
และด้วยอนิงสงค์ของ iPOD และ PMP Player ที่สามารถดูหนังแบบพกพาไปไหนมาไหนได้ ทำให้มี Earpad Headphone และ Street Style สำหรับการชมภาพยนตร์ออกมาด้วย ซึ่งแน่นอน เป็นตัวที่มาจากค่าย Ultrasone เช่นเดิม โดยตัวที่เด่นของทาง Eadpad Headphone ของค่ายนี้ก็คือ HFI-15G ส่วนตัวที่เป็น Steet Style ก็เป็น iCAN
Micro-Size


หูฟังประเภท Micro Size เป็นหูฟังที่ถูกพัฒนาลงมาจาก Semi Full-size เพื่อให้สามารถพกพาได้ง่ายขึ้น และใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งในท้องตลาดปัจจุบันถือได้ว่าเป็นหูฟังที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดใน บรรดาหูฟังทุกประเภท และมียี่ห้อที่หลากหลายมากที่สุด แต่ก็เป็นหูฟังที่ทำให้มีคุณภาพดีได้ยากที่สุดเช่นเดียวกัน เพราะขนาด Transducer ที่เล็กมาก และระยะที่ใกล้ชิดกับหูมากๆ ทำให้การออกแบบเพื่อได้มิติที่ดีนั้นทำได้ยากมากเลยทีเดียว ดังนั้นหูฟังที่เด่นๆจริงๆจึงมีเพียงไม่กี่ยี่ห้อ และไม่กี่รุ่น
หูฟังแบบ Micro-Size นั้นสามารถแยกย่อยออกมาได้ 3 ประเภทหลักๆ โดยแบ่งออกเป็น Earbud , In-Ear และ Hybrid ซึ่งเป็นหูฟังที่ผสมผสานระหว่าง In-ear และ Earbud เข้าด้วยกัน ดังนั้นเรามาเริ่มกันที่หูฟังที่เป็นที่นิยมที่สุดในท้องตลาดขณะนี้ก่อนเป็น อันดับแรกครับ
Earbud

แต่ก็อย่างที่ผมเกริ่นไว้ก่อนแล้ว หูฟังแบบ Earbud นั้นถือว่าเป็นหูฟังที่ออกแบบให้ดีได้ยากมากๆ เพราะข้อจำกัดในเรื่องขนาดและระยะของเสียงจาก Driver ไปยังแก้วหูนั้น มันใกล้มากเกินไป ดังนั้นหูฟังโดยทั่วๆไปที่วางขายกันอยู่โดยเฉพาะของ no name หรือของจีนแดง มักจะให้เสียงที่ไม่ดีจนคนที่ไม่ได้มีหูทองก็สามารถแยกออกได้ง่ายๆ แถมคุณภาพการผลิตก็แย่ ใช้งานได้ไม่เท่าไหร่ก็มักจะพังเอาง่ายๆ ไม่สายขาดในก็ driver หลุดออกมาจาก Housing ดังนั้นการเลือกหูฟังประเภทนี้ควรดูพวก Brand ที่มีชื่อเสียงไว้ก่อน และค่อยลองฟังเสียงก่อนจะตัดสินใจซื้อมาก เพราะจะช่วยให้อัตราการเสี่ยงที่เจอหูฟังด้อยคุณภาพลดลงไปเยอะครับ หูฟังในส่วนนี้ที่เด่นๆก็มี
Sennheiser MX400 , MX500, MX90VC
Sony MDR-E888
Yuin PK3 , PK2 และ PK1
Audio-Technica CM700 , CM700ti
Soken AS-800
จะว่าไป ตลาดหูฟังของ Earbud ผมถือว่าเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดนะครับ เรียกได้ว่านำหน้าตลาดของหูฟังในส่วนอื่นๆเลยทีเดียว เนื่องจากหูฟังประเภทนี้ หาซื้อง่าย ราคาถูก และมีหลากหลายยี่ห้อให้เลือก แถมยังคุ้นเคยเพราะอยู่คู่กับเครื่องเล่นแบบพกพามาช้านาน คนที่ใช้ก็สบายใจมากกว่าจะใช้เป็นพวกยัดหูแบบ In-ear เพราะบางคนจะค่อนข้างกลัวเรื่องเอาหูฟังยัดเข้าไปลึกๆ โดยส่วนใหญ่แล้ว หูฟังแบบ Earbud ที่ใช้ๆกันก็จะเป็นหูที่แถมมากับเครื่องเล่น MP3 ทั้งนั้นแหละครับ
และด้วยความที่เป็นหูฟังที่อยู่ในตลาดมาช้านาน ดังนั้น มันก็ย่อมมีสิ่งที่เรียกว่า “ ของในตำนาน ” ครับ
ถ้าจะพูดถึงหูฟังที่เหมาะจะใช้คำว่าตำนานของระดับ Full-Size ก็คงจะเป็นหูฟังที่เลิกผลิตไปแล้ว แถมยังหาซื้อได้ค่อนข้างยากด้วย เช่น
- สาย Sony ก็จะเป็น Sony CD3000 , Sony Qualia 010 และ Sony R10
- สาย Grado ก็น่าจะเป็น Grado PS-1 , PS-2 และ Grado HP-1000
- สาย Audio-Technica ก็จะเป็น ATH L3000 และ ATH W2002
- สาย Sennheiser ก็คงเป็น Orpheus ตัวเดียวเลยล่ะครับ
- สาย AKG ก็เป็น AKG K1000 และ AKG K340
แต่ถ้าเป็นระดับ Earbud ก็คงจะต้องยกให้ Sony กับ Aiwa ที่เป็นเจ้าผู้ครองตลาดสมัยเทปเพลงยังโด่งดังกับเครื่องเล่นพกพาที่เรียกกันว่า ซาวน์อะเบ้าท์ หรือ Walkman นั่นแหละครับ ซึ่งทั้งคู่ก็มีหูฟังที่เรียกว่า “ทรงคุณค่า” อยู่คนละตัวคือ
- Sony MDR E-484
- Aiwa HP-V99 , Aiwa HP-D9
ผมเองก็เคยฟังแค่ตัวเดียว นั่นก็คือ E-484 ซึ่ง ถ้าจะพูดกันเฉพาะเนื้อเสียง จะมีความละม้ายคล้ายคลึงกับ Westone UM2 ครับ แต่ในแง่ของมิตินี่ ไม่เหมือนใครเลยครับ เพราะให้ image ใหญ่ soundstage กว้าง และมีความเป็น 3 มิติเอามากๆ แต่ติดตรงเสียงกลางจะขุ่นๆนิดแต่ก็ไม่หนักหนาเท่า UM2 เพระาอย่างน้อยย่านสูงก็ยังมีความใสกว่าครับ ส่วน Aiwa นี่ยังไม่กล้าฟันธง เพราะตัวที่เคยลองเก่าไปนิดนึงครับ ต้องของลองดูตัวที่สภาพสมบูรณ์กว่านี้อีกหน่อยค่อยว่ากันใหม่
อีกตัวนึงของ Sony ที่กำลังจะกลายเป็นตำนาน ( หรือหาซื้อไม่ได้อีกแล้ว ) ก็คือ Sony MDR-E888 ครับ ตัวนี่จะให้เสียงที่หวานใสและเบสนุ่ม เหมาะสำหรับฟังเพลง Pop และเพลง Jazz เอามากๆครับ ปัจจุบันเห็นว่ากำลังจะเลิกผลิตแล้ว เพราะจากอดีตที่เคยมีเวอร์ชั่นอย่าง Made in Japan แล้วก็กลายมาเป็น Made in China จนตอนนี้ผมเจอแบบ Made in Thailand แล้วครับ คาดว่าคงได้หายไปจากตลาดในไม่ช้านี้ เพราะมีรุ่นน้องคนใหม่อย่าง Sony EX90 ขึ้นมาแทนที่แล้วครับ ใครอยากได้ก็รีบๆหาซื้อมาเก็บไว้แล้วกันครับ
ในส่วนของ Micro-size นั้น นอกจากจะมี Earbud แล้ว ก็ยังมีอีกส่วนที่กำลังเป็นกระแสที่มาแรงในขณะนี้ นั่นก็คือ IEM หรือ หูฟังแบบ In-ear นั่นเองครับ
In-ear ( IEM )


หูฟังประเภท In-ear นั้น แรกเริ่มเดิมที ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานใน Studio , Stage และ PA เป็นหลัก เพราะความที่มันมีระบบ isolation หรือ การเก็บเสียงที่ดี เหมาะสำหรับใช้งานที่ที่อึกทึกเอามากๆเลยทีเดียว ดังนั้นในยุคแรกๆมันจึงได้ใช้ชื่อว่า IEM หรือ In Ear Monitor นั่นเอง เพราะส่วนใหญ่เค้าจะเอามาใช้งานด้านเสียง มากกว่าเอามาฟังเพลง โดยผู้ผลิตเจ้าแรกๆก็คงจะเป็น Shure นี่แหละครับ ซึ่งทางในตอนนั้นทาง Shure ก็ได้ว่าจ้างบริษัท Westone ให้ผลิตหูฟังในชื่อว่า Shure E1C ออกมา และต่อมาในภายหลัง Westone ก็ออกหูฟังของตัวเองในชื่อ UM1 และ UM2
หลายๆคนมักจะกลัวว่า หูฟังแบบ In-ear จะก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าหูฟังประเภทอื่น แต่อันที่จริงแล้ว ถ้าพูดถึงความอันตรายนี่ ก็พอๆกันทุกแบบแหละครับ ขึ้นอยู่กับการใช้งานมากกว่า ถ้าเปิดดังเกินไป ไม่ว่าจะหูฟังแบบไหนมันก็สร้างปัญหาให้กับเราได้ทั้งนั้นแหละครับ ผมว่า แบบ In-ear จะปลอดภัยกว่าหน่อยด้วยซ้ำ เพราะเราไม่ต้องเปิดเสียงดังแข่งกับเสียงรอบข้างเรา ทำให้เราฟังเพลงได้เพราะขึ้นโดยไม่ต้องเปิดเสียงดัง หูเราก็จะอยู่คู่กับเราไปได้อีกนานเลยล่ะครับ หูฟังที่เด่นๆในส่วนของ In-ear ก็จะมี
Ultimate Ears - Super.fi 3 live , Super.fi 4 , Super.fi 5 pro และ Triple.fi 10 pro
Westone - UM2
Shure - E3C , E4C , E5C และ SE530
Etymotic - ER4P, ER6i
Creative - EP630
Philips - SHE9700
Sennheiser - CX300 , CX500
Crossroad - Mylarone X3
Soundmagic - PL11, PL12 , PL30
SONY - MDR-EX500 , MDR-EX700
Jays - qJAYs
Altec-Lensing - IM716
นอกเหนือจากหูฟังในแบบ Mass Production แล้ว ยังมีหูฟัง In-ear แบบที่ Build by order ในลักษณะที่เป็นหูฟังแบบพอเหมาะพอเจาะกับหูของเราเป๊ะๆ ในชื่อว่า Custom In-ear ซึ่ง ตอนนี้กำลังเริ่มเป็นที่นิยมในระดับนึงเลยทีเดียว เพราะหูฟังแบบนี้จะเสียบเข้าพอดีกับหูเราและจะค่อนข้างเก็บเสียงได้ดีกว่าพวกที่ใช้ Housing แบบ Universal ที่วางขายในท้องตลาดทั่วๆไป
แต่เนื่องจาก Custom In-ear มีราคาสูง ฟังได้แค่คนเดียว แถมยังขายต่อไม่ได้อีก ทำให้คนที่นิยมก็ยังอยู่กันในแค่วงแคบๆเท่านั้นครับ เห็นว่าอีกไม่นานจะมีหูฟังแบบ Custom ของคนไทย ก็หวังว่าจะออกมาไม่แพง และช่วยให้คนที่เล่นหูฟังมีทางเลือกมากขึ้นนะครับ
การเลือกซื้อหูฟังซักตัว นอกเหนือจากเรื่องเสียงและ Design แล้ว เราก็ควรจะดูด้วยครับว่า ส่วนใหญ่เราใช้งานในลักษณะไหน เช่น ออกนอกบ้านบ่อยๆ ใช้ข้างนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ก็ควรใช้หูฟังแบบ Semi-Fullsize หรือ Micro-Size ไปเลย หรือ ถ้าอยู่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ก็น่าจะหา Full-size ดีๆซักตัว ใส่สบายๆจะดีกว่าครับ จริงๆของพวกนี้ก็ไม่ได้มีกฎกำหนดตายตัวว่าจะใช้อะไรแบบไหนที่ไหนยังไง เพราะผมยังเคยเห็นคนใส่ Full-Size เดินขึ้นรถเมล์หน้าตาเฉย แต่ถ้าเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน เราจะมีความสุขกับการฟังเพลงได้มากกว่าครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น